หลังจากเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในงาน
WWDC
2013 สำนักข่าว Cnet นำภาพหน้าจอของระบบปฏิบัติการไอโอเอสเซเว่น
(iOS 7) ได้มีการนำมาเทียบกับระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟท์อย่างวินโดวส์โฟน
8 (Windows Phone 8), แอนดรอยด์เจลลีบีน (Android
Jelly Bean) รวมถึงระบบปฏิบัติการแบล็กเบอรี่เท็น (BlackBerry
10) เพื่อให้ผู้ชมทุกคนตอบคำถามนี้ด้วยสายตาของตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่บน iOS
7 ที่ออกแบบโดย Jonathan Ive เป็นคนออกแบบหน้าตาการใช้งานให้มีรูปแบบใหม่ทั้งหมด
มาพร้อมแนวคิด “Flat Design” ที่จะเน้นไปที่ความบาง,
ตายตัว, เรียบง่ายและดูดีขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้หน้าใหม่ iOS 7 ยัง มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่เพียบ
ส่วนจะมีฟีเจอร์ใหม่แกะกล่องมีอะไรบ้าง
Control Center
Control Center
Control Center |
Control Center
เชื่อว่าฟีเจอร์นี้น่าจะถูกใจสาวกแอปเปิลหลาย
ๆ คนแน่นอน เพราะ iOS 7 แอปเปิลได้เพิ่มControl
Center เปรียบเหมือนกับ SB Settings หรือ
Toggle Settings ที่ผู้ใช้มือถือ Android หลายคนคุ้นเคย ฟีเจอร์ นี้ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าตั้งค่าต่าง
ๆ เบื้องต้นได้ วิธีการเรียกใช้ Control Center ก็ง่าย ๆ
เพียงลากนิ้วจากหน้าจอข้างล่างขึ้นด้านบน ก็จะมีเมนูตั้งค่าต่าง ๆ แสดงขึ้นมา เช่น
เปิด-ปิด Wi-Fi/3G, เปิด Airplane mode,
Bluetooth, Do Not Disturb, ปรับแสงหน้าจอ, ควบคุมการฟังเพลง, ไฟฉาย, เครื่องคิดเลข และกล้อง เป็นต้น ถือว่าเป็นอีกฟีเจอร์ที่สะดวกมาก ๆ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเจลเบรค
iOS เพื่อเพิ่มฟีเจอร์แบบนี้เข้ามาอีกต่อไป
Notification Center
Notification Center |
Notification Center ศูนย์รวมการแจ้งเตือนบน
iOS 7 ได้ถูกปรับปรุงใหม่ โดยเพิ่มส่วน Today ที่แสดงสิ่งที่ต้องทำวันนี้ โดยดึงข้อมูลจากที่เราบันทึกไว้บนปฏิทิน
ส่วน Missed จะรวม การแจ้งเตือนทั้งหมดที่เรายังไม่ได้เปิดดู
เช่น ข้อความ, สายที่ไม่ได้รับ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Notification Center โดยเลื่อนลงมาดูได้แม้จะล็อกหน้าจออยู่ก็ตาม สำหรับ Notification Center ถือว่าปรับปรุงได้ดีและมีประโยชน์มากกว่าเดิม
Multitasking
ระบบ Multitasking แบบใหม่ที่ดีกว่า เพราะถูกออกแบบมาให้อนุญาตเฉพาะบางแอพพลิเคชั่นเท่านั้นแจ้งเตือนได้
หากแอพฯ ไหนไม่ได้ใช้งานก็จะถูกหยุดการทำงาน ซึ่งทางแอปเปิลได้เปลี่ยนค่าการวัดจากเดิมที่เป็น
Active/Non-Active มาเป็นการวัด Priority ให้ความสำคัญกับแอพฯ ที่เรากำลังใช้งานอยู่ ส่วนแอพฯ ที่ไม่ได้ใช้ก็จะหยุดทำงาน
ระบบ Multitasking แบบใหม่นี้จะช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น
Camera
Camera |
แอปเปิลได้ปรับปรุงแอพฯ Camera
บน iOS 7 ใหม่ โดยเปลี่ยนอินเตอร์เฟซของกล้องและเพิ่มลูกเล่นแต่งภาพใส่ฟิลเตอร์ให้กับรูป
ภาพได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแอพฯ แต่งภาพอีกต่อไป ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ของกล้องถ่ายภาพยังเหมือนเดิม
Photo
Photo |
ในส่วนของแอพฯ Photo
บน iOS 7 เพิ่มตัวเลือกในการแสดงภาพแบบตามสถานที่
หรือเลือกแสดงตามเวลาที่ถ่ายภาพเพื่อง่ายต่อการค้นหา และมี iCloud
Photo Sharing ใช้สำหรับแชร์ภาพและวิดีโอ รวมถึงแชร์ภาพผ่าน
AirDrop เพื่อส่งรูปภาพให้กับเพื่อนที่ใช้ iPhone,
iPad และ iPod touch ได้
AirDrop
AirDrop สำหรับใครที่ใช้ MacBook
น่าจะรู้จักกับฟีเจอร์นี้เป็นอย่างดี ไม่ได้เป็นฟีเจอร์ใหม่ แต่ทางแอปเปิลได้เพิ่มฟีเจอร์
AirDrop เข้ามาอยู่ใน iOS 7 ด้วย
ทำให้ผู้ใช้งานสามารถแชร์ภาพ ส่งภาพผ่าน Wi-Fi หรือ Bluetooth
ให้กับเพื่อนที่ใช้ iPhone, iPad หรือ MacBook
ได้สะดวกกว่าเดิม
Safari
Safari |
เว็บบราวเซอร์อย่าง Safari ก็มีการปรับปรุงใหม่เช่นกันบน iOS 7 มีการปรับอินเตอร์เฟซใหม่ทั้งหมด
เปลี่ยนเมนูแท็บแบบใหม่และแสดงผลแบบ Full screen browsing รวมถึงสามารถซิงก์ข้อมูลได้กับ iCloud Keychain ระบบ จัดการรหัสผ่าน และบัตรเครดิตที่จะเก็บไว้บน iCloud พร้อมทั้งซิงก์ไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ และ Password Generator ที่ช่วยสร้างรหัสผ่านเมื่อเราสมัครหรือสร้างบัญชีบนเว็บผ่าน Safari
iTunes Radio
iTunes Radio |
iTunes Radio บริการวิทยุออนไลน์ผ่านระบบ ”สตรีมมิ่ง” (Streaming) ที่ มีกว่า 200
สถานี ผู้ใช้สามารถเปิดฟังเพลงได้ทั้งบน iPhone, iPod
Touch, iPad, Mac, Apple TV และบน PC โดยมีโฆษณา
และสามารถแบ่งสถานีตามหมวดเพลง ส่วนคนที่ใช้ iTunes Match จะไม่มีโฆษณา ฟังแล้วถูกใจคลื่นไหนสามารถกดแชร์ให้เพื่อน
ๆ ได้ สำหรับ iTunes Radio จะเริ่มเปิดบริการในอเมริกาก่อนเป็นที่แรก
Siri
Siri ฟีเจอร์เก่า แต่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้น่าใช้งานกว่าเดิม
โดย Siri บน iOS 7 ได้เพิ่มเสียงเลขาผู้ชายเข้ามา
รวมถึงสามารถตอบโต้ในภาษาอื่นได้ และเพิ่มการค้นหาข้อมูลจาก Wikipedia และ Twitter
App Store
App Store |
สำหรับ App
Store บน iOS 7 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่
เหมาะกับคนขี้เกียจอัพเดทแอพฯ บ่อย โดยแอปเปิลได้เพิ่มระบบอัพเดทแอพฯ อัตโนมัติโดยไม่ต้องกดเข้าไปอัพเดทเอง
และไม่มีการแจ้งเตือนการอัพเดทมารบกวน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Apps
Near Me ที่แนะนำแอพฯ ยอดนิยมในประเทศที่เราใช้งาน
หรือแสดงแอพฯ ที่เป็นประโยชน์ที่เราอยู่ ณ ตอนนั้น
Find My iPhone
Find My iPhone |
Find My iPhone อีกหนึ่งฟีเจอร์สำคัญของคนใช้
iOS ที่ใช้สำหรับตามหาหรือดูตำแหน่ง iPhone แอปเปิลได้ปรับปรุง Find My iPhone ใหม่เพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นเรียกว่า “Activation
Lock” ใน กรณีที่ iPhone หายเมื่อเราใช้คำสั่งล็อกเครื่องจาก
Find my iPhone ถึงแม้เครื่องจะถูกล้างข้อมูลทั้งหมดแล้วก็ตาม
แต่ก็จะไม่สามารถ Activate เครื่องได้ การ Activate
เครื่องได้จะต้องใช้ Apple ID ของเจ้าของเครื่องเท่านั้น