หน้าเว็บ

17 พ.ย. 2557

มาแต่ง Google Map กันเถอะ [part 3 - แปะ Marker บน Google Maps API Styled Map Wizard]

หลังจากสร้าง Google Maps Style ในรูปแบบที่เราต้องการแล้ว ก็ดึง JSON code มาใช้ร่วมกับ Java Script แล้วทำการสร้างไฟล์แผนที่ของเราขึ้นมา ต่อไปเราจะกล่าวถึงการ PIN ตำแหน่ง หรือ Marker ลงบนแผนที่ของเรา

แผนที่ ที่ได้จากการสร้าง Google Maps Style
(รายละเอียดติดตามได้ที่ Part2)

ทำการเพิ่มคำสั่ง Marker ลงไปใน map.js โดยใส่ใว้ถัดจาก คำสั่ง
var map = new google.maps.Map(document.getElementById("map"), mapOptions);

รูปแบบคำสัง Marker ดังนี้
 var marker = new google.maps.Marker({
                            position: myLatLng,
                            map: map,
                            animation: google.maps.Animation.DROP,
                            title: "Welcome to Thailand" //แสดงเมื่อนำเมาส์ชี้ที่ Marker pin 
 });
 
        var info = new google.maps.InfoWindow({
                            content: '<h1>Hello</h1>' //คำที่แสดงเมื่อคลิก Marker pin
                        });
        google.maps.event.addListener(marker, 'click', function(){
            info.open(map, marker);
        });



แค่นี้ก็จะได้แผนที่แสดงตำแหน่งที่สมบรูณ์แล้ว


เป็นอันว่าจบบทเรียน เรื่อง "มาแต่ง Google Map กันเถอะ" แล้วนะคะ โดยข้อดีของเครื่องมือ Google Maps API Styled Map Wizard คือ สามารถแสดงแผนที่ในรูปแบบที่เราต้องการได้ แต่ก็ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานของการเขียนโค้ดนิดหน่อย ถึงจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงๆ

ส่วนข้อเสีย ก็ขัดกับข้อดีแหละค่ะ ถ้าคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานการเขียนโค้ดเลย อาจจะทำให้การนำไปใช้ยากหน่อย
 
ยังไงก็ ลองนำไปประยุกต์ใช้กับเว็บไซต์ของตนเองดูนะคะ เพื่อความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ^3^

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ https://developers.google.com/maps/

14 พ.ย. 2557

มาแต่ง Google Map กันเถอะ [part 2 - วิธีใช้ Google Maps API Styled Map Wizard กับเว็บ]

ก่อนหน้านี้เราได้ลองเล่น Google Maps API Styled Map Wizard กันไปแล้ว คราวนี้ถึงเวลานำไปใช้จริงแล้วสิ



จากรูป ด้านขาวมือจะมี Tool ชื่อว่า Map Style อยู่  มองมาข้างล่างจะเจอปุ่ม "Show JSON"   เมื่อกดแล้วจะพบกับ โค้ด หน้าตาประมาณนี้

Google Maps API v3 Styled Maps JSON

[
  {
    "featureType": "landscape",
    "stylers": [
      { "hue": "#ffaa00" },
      { "saturation": -1 },
      { "lightness": -3 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
    "featureType": "road.highway",
    "stylers": [
      { "gamma": 1 },
      { "saturation": -54 },
      { "lightness": 8 },
      { "hue": "#22ff00" }
    ]
  },{
    "featureType": "road.arterial",
    "stylers": [
      { "hue": "#ffbb00" },
      { "saturation": 1 },
      { "lightness": 1 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
    "featureType": "road.local",
    "stylers": [
      { "hue": "#00ffff" },
      { "saturation": 1 },
      { "lightness": 30 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
    "featureType": "water",
    "stylers": [
      { "hue": "#00bbff" },
      { "saturation": 7 },
      { "gamma": 1 },
      { "lightness": -26 }
    ]
  },{
    "featureType": "poi",
    "stylers": [
      { "hue": "#66ff00" },
      { "saturation": 33 },
      { "lightness": -28 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
  },{
    "featureType": "administrative",
    "stylers": [
      { "hue": "#0008ff" },
      { "saturation": 49 },
      { "lightness": -3 }
    ]
  },{
    "featureType": "landscape",
    "stylers": [
      { "saturation": 1 },
      { "hue": "#ffb300" }
    ]
  }
]
โค้ดนี้ยังไม่สามารถนำมาใช้ได้เลยนะคะ ต้องสร้าง Map ก่อน


1. หน้าสำหรับแสดงแผนที่ index.html

<html>
<html>
<head>
<link rel="stylesheet" href="map.css">
<script src="http://www.google.com/jsapi/"></script>
<script src="sample.js"></script>
</head>
<body>
     <div id="map"></div>
</body>
</html>


2. กำหนด style  map.css

@charset "utf-8";
html,body{
  width: 100%;
  height: 100%;
}
#map{
  width: 600px;
  height: 450px;
}


3. สร้างไฟล์ map.js

google.load("maps", "3.x", {"other_params":"sensor=false"});

//ฟังก์ชันกำหนดค่าของแผนที่
function initialize() {

//กำหนดพิกัด
  var myLatLng = new google.maps.LatLng(13.797849, 100.547436);


  var mapOptions = {
    zoom: 15,                                 //ระดับการซูม
    center: myLatLng,                         //พิกัดกึ่งกลางแผนที่
    mapTypeId: google.maps.MapTypeId.ROADMAP,  //ประเภทของแผนที่
    mapTypeControlOptions: {
       mapTypeIds: [google.maps.MapTypeId.ROADMAP, 'simple']
    }
 
  };
  
  var map = new google.maps.Map(document.getElementById("map"), mapOptions);
  
  //ค่าที่ได้จาก Google Maps API v3 Styled Maps JSON
  var samplestyle = [
  {
    "featureType": "landscape",
    "stylers": [
      { "hue": "#ffaa00" },
      { "saturation": -1 },
      { "lightness": -3 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
    "featureType": "road.highway",
    "stylers": [
      { "gamma": 1 },
      { "saturation": -54 },
      { "lightness": 8 },
      { "hue": "#22ff00" }
    ]
  },{
    "featureType": "road.arterial",
    "stylers": [
      { "hue": "#ffbb00" },
      { "saturation": 1 },
      { "lightness": 1 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
    "featureType": "road.local",
    "stylers": [
      { "hue": "#00ffff" },
      { "saturation": 1 },
      { "lightness": 30 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
    "featureType": "water",
    "stylers": [
      { "hue": "#00bbff" },
      { "saturation": 7 },
      { "gamma": 1 },
      { "lightness": -26 }
    ]
  },{
    "featureType": "poi",
    "stylers": [
      { "hue": "#66ff00" },
      { "saturation": 33 },
      { "lightness": -28 },
      { "gamma": 1 }
    ]
  },{
  },{
    "featureType": "administrative",
    "stylers": [
      { "hue": "#0008ff" },
      { "saturation": 49 },
      { "lightness": -3 }
    ]
  },{
    "featureType": "landscape",
    "stylers": [
      { "saturation": 1 },
      { "hue": "#ffb300" }
    ]
  }
];
  
  var samplestyleOptions = {
    name: "Style"
  };
  
  var sampleMapType = new google.maps.StyledMapType(samplestyle, samplestyleOptions);
  map.mapTypes.set('simple', sampleMapType);
  map.setMapTypeId('simple');

 
}

//เรียกใช้แผนที่
google.setOnLoadCallback(initialize);


แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี 

13 พ.ย. 2557

มาแต่ง Google Map กันเถอะ [part 1 - ลองเล่น Google Maps API Styled Map Wizard กัน]

วันนี้ไปเจอของดีของ Google มาเลยอยากจะเอามาเผยแพร่ให้สาธารณชนได้ลองใช้กัน เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จัก "Google Maps API Styled Map Wizard" อร้ายยย อยากจะบอกว่าปลื้มมากกกก เบื่อหน้าตา Google Map แบบเดิมจะตายอยู่แล้ว มาลองเปลี่ยนสีสันให้เป็นไปตามรูปแบบและสไตล์ของ Map ให้เป็นไปตามเว็บของเราดีกว่า เพื่อความ Model //เกี่ยวมั้ย ^^


มาเริ่มกันเลยจ้าาา ~O~


ก่อนเริ่มตามลิ้งนี้ไปเลย >> Google Maps API Styled Map Wizard


เมื่อเปิดขึ้นมาจะพบกับหน้าตาแบบนี้






[[ ด้านซ้ายมือ Selectors เป็นเครื่องมือกำหนดลักษณะ ]]

1. Feature type - เป็นการกำหนดรูปแบบให้แผนที่ สามารถเลือกกำหนดลักษณได้เฉพาะส่วน เช่น ถนน, แม่น้ำ, สวนสาธารณะ

2. Stylers - กำหนดรูปแบบลักษณะที่แสดง ประกอบด้วย

    2.1 Visibility - เป็นการกำหนดเส้นขอบ

    2.2 Invert lightness - กลับค่าการแสดง

    2.3 Color - สี โดยกำหนดค่าเป็น RGB

    2.4 Weight - ความหนา

    2.5 Hue - ค่าสี (มันต่างจาก color ยังไงใครรู้ช่วยอธิบายเพิ่มให้ที ^^)

    2.6 Saturation - ค่าความอิ่มตัวของสี

    2.7 Lightness - ความสว่าง

    2.8 Gamma - ค่าแกมม่า

[[ด้านขาวมือ Map Style จะแสดงค่าที่เรากำหนด]]
สามารถเพิ่มและดูโค้ดได้ในรูปแบบ JSON

Before
↓↓


เมื่อกำหนดค่าต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็จะได้ Google Map หน้าตาใหม่ที่สวยงาม

After
↓↓


สวยปะหละ(แต่งไปเรื่อยหนะ YY) ลองไปเล่นดูนะคะเผื่อจะได้ Google Map ในแบบของตนเอง 


24 ก.พ. 2557

เรื่องวุ่นๆ ของ mailer


ขอบคุณรูปภาพน่ารักจาก
 http://kqkangaroo.deviantart.com/art/DON-T-SEND-ME-MORE-MAIL-415491991

ข่าวคราวเงียบหายมาสองสามเดือน อยากตะโกนดังว่า "กลับมาแล้วคร้าาาาาาาาาาาาา"  เนื่องจากอยู่ในช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก อะไรก็ยุ่งไปหมด แต่หลังจากนี้จะไม่มีอะไรมาขัดขวางเราได้แล้ว หึหึหึ  เลยจะค่อยๆ ทะยอยเล่า(หรือบ่น ><) ถึงปัญหาระดับ PHP แล้ววิธีแก้ปัญหาทั้งหมดก่อนหน้านี้ นะเคอะ

เข้าเรื่องค่ะ

หลายคนมีปัญหากับสคริปส่งอีเมลล์กันเหลือเกิน รวมตัวเราด้วยแหละ /~~  จนมาเจอตัวหนึ่งอยากบอกว่าเริดอะ ชอบมากจนถึงขั้นติดใจ (เทพๆ ทั้งหลาย อย่าอ่านต่อเลย อายค่ะ 5555) หลายๆ คนคงรู้จักกันในนาม phpmailer แต่หลายคนยก็ไม่รู้จัก  เอ๋!!! แล้วมันคืออะไร ใช้ยังไงหละ

ถ้าถามว่ามันคืออะไร เชิญหาในอากู๋<google>ได้นะคะ (ขี้เกียจอธิบาย ;P) แต่ถ้าถามว่ามันใช้ยังไงหละก็ เตรียมตัวลุยไปพร้อมกันเลยคร้าาาาาาาาาาาาาาา

อันดับแรก ต้องไปโหลด phpmailer มาจากเว็บก่อนนะคะ ลองหาดูค่ะ

ต่อมาก็แตกไฟล์ออกมาค่ะ จะเจออะไรย้วยเยี้ยเยอะแยะมากมายจนไม่อยากทำต่อ อดทนใว้จ๊ะ T^T



เลือกเฉพาะไฟล์  class.phpmailer.php, class.smtp.php, class.pop3.php นะคะ แยกใส่ Folder ต่างหากเลยเดี๋ยวงง 

จากนั้นสร้างไฟล์ชื่อว่า send.php แล้วใส่ code ทั้งหมดนี้ลงไป (แนะนำให้พิมพ์เองนะ จะได้จำได้)

<?

require 'class.phpmailer.php';
//------------------------------ Connect Email -----------------------------//   
    $mail1 = new PHPMailer();

   
    $mail->CharSet = "utf-8";
   
    $mail->From = "yourmail@domainname.com";  //อีเมลล์ผู้ส่ง

    $mail->FromName = "Your name";  //ชื่อคนส่ง

    $mail->Host = "mail.domainname.com"; 
     //SMTP Server โดนเมนที่จดเองบางที่จะเหมือนตัวอย่าง แต่บางที่จะใช้ stmp.domainname.com
    //แต่เมลล์ทั่วไปจะใช้ stmp.gmail.com(gmail), stmp.live.com(hotmail), stmp.mail.yahoo.com

    $mail->Port = 25; //port ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการอีเมลล์นะ ลองหาดูว่าใครใช้อะไร

    $mail->Mailer = "smtp"; //จะกำหนดค่าเป็น stmp หรือ pop3 ตามใจจ้า ซึ่งแต่ละแบบก็ไม่เหมือนกัน ลองหาข้อมมูลเอานะ แต่แนะนำ stmp
    $mail->AddAddress("to1@domainname.com"); //อีเมลล์ผู้รับคนที่ 1
    $mail->AddAddress("to2@domainname.com"); //อีเมลล์ผู้รับคนที่ 2 (จะมีอีก 10 ยังได้เลย ^^)
   
   
    $mail->WordWrap = 100;  
    $mail->Subject = "send mail by Mailer";
    $mail->Body    = $contents01; //ข้อความที่จะส่งไปสามารใส่เป็นตัวแปลได้ หรือหากต้องการใส่เป็นประโยคทั่วไป ทำได้โดยใส่ฟันหนู (" ") ครอบข้อความ เช่น $mail->Body    = "คิดถึงนะ";

    $mail->IsHTML(false);
   
    $mail->SMTPAuth = "true";
    $mail->Username = "youruser@domainname.com"; //อีเมลล์ผู้ส่ง
    $mail->Password = "yourpassword"; //รหัสผ่านสำหรับอีเมลล์ผู้ส่ง
   

    $mail->Send();  //ส่งเลยยยยยยยยยยย



//------------------------------ Check Send-----------------------------//   
 
if(!$mail1->Send()&&!$mail2->Send())
{
   echo "Message could not be sent. <p>";
   echo "Mailer Error: " . $mail->ErrorInfo;
   exit;
}
else
{
   echo "Complete HAHAHA";
}

?>


 แค่นี้ก็เรียบร้อยโรงเรียนเราแล้วจ้า อาจจะอธิบายได้ไม่ละเอียดเท่าไหร่ อย่าโกรธกันนะ เราเชื่อว่าถ้าคุณพร้อมที่จะเรียนรู้แล้วไม่มีอะไรยากเกินกว่าความสามารถมนุษย์หรอกน่า เคอะปะ ~O~


11 พ.ย. 2556

seo นั้นสำคัญไฉน



ขอบคุณรูปภาพจาก pantip-court.com



จากประสบการณ์ที่รับทำเว็บไซต์ มีหลายบริษัทที่ขาดคนมีความรู้เรื่อง IT มักจะถามอยู่บ่อยๆ ว่าให้ช่วยทำให้เว็บติดอันดับหน้าแรกๆ ของ google หน่อยได้รึเปล่า เราก็บอกว่าได้ แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้ามา และหลายๆ คนไม่รู้ว่าการทำแบบนี้คือการทำ seo และเรามักจะถูกถามอยู่บ่อยๆ ว่า seo คืออะไรมันต้องเสียเงินเพิ่มด้วยหรอ ก็อธิบายไปตามประสา Programmer (หลัการมาเต็ม แต่คนทั่วไปเค้าไม่เข้าใจเราหรอก 5555) วันนี้ก็เลยอยากจะเขียนบล็อกที่ให้ความรู้เรื่อง seo เป็นภาษาคนเข้าใจง่าย(มั้ง) สำหรับ บริษัทหรือบุคคลที่ยังไม่เข้าใจว่า seo คืออะไร จะต้องทำไปทำไม แล้วมันมีผลดีอย่างไร 


Seo หรือ Search engine optimization  คือ การพยายามเพิ่มช่องทางการเข้าถึงเว็บของคุณให้มากที่สุด จาก Search engine ที่นิยมใช้กันคือ google เปรียบเสมือนการทำการตลาดออนไลน์บนโลกอินเตอร์เน็ต โดยจะทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ตำแหน่งในหน้าแรกบน Search engine เนื่องจากเว็บของคุณมีโอกาศถูกคลิกเข้ามาดูสินค้าหรือบริการมากกว่าเว็บคู่แข่งที่อยู่ในหน้าที่ 2,3 และหน้าถัดๆ ไป
โดยการแข่งขันนี้จะมีอาวุธที่สำคัญคือ Keyword หรือคำที่ใช้ค้นหา ซึ่งเมื่อมีผู้ใช้ค้นหาคำๆ นึง เช่น เคมีสำหรับ Cooling Tower, Evaporative  ผลลัพธ์ในการค้นหาจาก Search Engine จะต้องปรากฏเว็บของคุณและเมื่อกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเข้ามาเยี่ยมชมเว็บและสนใจในสินค้าและบริการ คุณก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งทาง นอกจากนี้อัตราการแข่งขันของ Keyword ก็สำคัญ 

จากตัวอย่างในภาพ Keyword ที่ใช้คือ เคมีสำหรับ Cooling Tower, Evaporative มีเว็บคู่แข่งที่รวมๆกันแล้วประมาณ 7,240 รายการ ผลการค้นหาเว็บ kriscochemical.com  อยู่ลำดับที่ 4 และ 5 ซึ่งถือว่าเป็นผลดี และโอกาสขายสินค้าได้ก็จะมีมากขึ้น


แต่จะสังเกตว่า อันดับที่ 1 เป็นของเว็บ pantipmarket.com แต่สินค้าป็นชื่อของ บริษัท คริสโก้เคมีคอล จำกัด นี่คือการทำตลาดอีกวิธีหนึ่ง คือ การนำไปฝากเว็บที่อันดับแรงๆ โอกาสเจอสิค้าของท่านก็จะสูงขึ้นไปอีก แต่ควรเข้าไปอัพเดทบ่อย (นอกจาก pantipmarket.com แล้วก็มีอีกหลายๆ เว็บที่ดีๆ สามารถฝากได้)

ลองมาดูตัวอย่าง Keyword อีกสัก 1 คำ คือ เคมีสำหรับระบบน้ำเสีย พบว่ามีอัตราการแข่งขันสูงมาก 6,770,000 รายการทำให้โอกาศเจอเว็บ kriscochemical.com มีน้อยลงไปอีก จากภาพไม่เจอเว็บในหน้าแรกเลย แต่จะเห็นว่าเราเจอเว็บ pantipmarket.com <อีกแล้ว>



นอกจากนี้คุณยังสามารถกระตุ้นยอดขายผ่านทาง social network ทั้ง facebook, Instagram, google+ ฯลฯ ได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าการทำ seo เว็บของคุณให้ติดอันดับนั้นไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไปขึ้นอยู่กับการแข่งขันและความแรงของเว็บที่ไปลิ้งด้วย จึงส่งผลให้ราคาการรับทำ seo แต่ละ keyword ไม่เท่ากัน  ยิ่งคู่แข่งมากราคายิ่งสูง และเมื่อเว็บติดอันดับแล้วก็ต้องหมั่นดูแลให้อันดับไม่ร่วงด้วยเช่นกัน หลายๆ คน ไม่อยากเสียค่าดูแลรายเดือนก็เลยจ้างครั้งเดียวจบ แล้วอันดับเว็บของคุณก็จะร่วงจนหายไปจากหน้าแรก เพราะถูกเว็บที่ทำ seo ใหม่ๆ คุณภาพดี มีการดูแลที่ดี ขยับขึ้นมาแทนที่

การทำ seo ก็เหมือนจ้าง sale ขายของหาลูกค้า แต่เงินเดือนที่คุณจ่ายจะถูกกว่ามาก ดังนั้นอย่ากลัวที่จะลงทุน ราคาแต่ละที่ที่รับทำก็ไม่เท่ากัน จะจ้างใครนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและงบประมาณของท่าน อย่างไรก็ตามคุณจะได้มากกว่าเสียซะอีก

22 ต.ค. 2556

วิธีตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ

วิธีตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ
วิธีตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ผ่านโทรศัพท์มือถือ


วันนี้เป็นวันที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เพราะอะไรไม่ต้องรู้หรอกค่ะ ^^ เรามาคุยกันถึงสิ่งดีๆ ดีกว่า หลังจากไม่เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ เราก็ไม่รู้จะทำอะไรดี แต่ด้วยสัญชาติญาณของโปรแกรมเมอร์ (ก็ว่าไปงั้น) เลยหาไอเดียร์ทำเว็บแก้เครียดดีกว่า [รุสึกเหมือนจะเครียมากกว่าเดิม 555] บอกได้เลยว่าเป็นครั้งแรกที่ได้แตะ HTML5 หลังจากมันมีมานานพอสมควร อย่าถามว่าที่ผ่านมาทำไมไม่คิดจะทำหละ ตอบได้คำเดียวว่า ขี้เกียจ :P เข้าเรื่องได้ละจ๊ะ ^^
ปล. ตอนนี้หลายๆ คนก็คงจะรู้จัก HTML5  กับ CSS3 มาพอสมควร ในบทความนี้จะไม่พูถึงโครงสร้างใดๆ ทั้งนั้นเพราะมันมีเยอะแล้ว แต่เราจะเล่าสิ่งที่เรากำลังทำหรือพบเจอให้สำหรับคนที่เริ่มต้นเหมือนกับเราได้เข้ามาอ่านนะจ๊ะดาลี่

เคยมีความสงสัยบางมั้ยว่าทำไมเวลาเข้าเว็บบางเว็บโดยเข้าผ่าน Browers จากคอมพิวเตอร์หรือน็ตบุค การแสดงผลมันช่างต่างกับ การแสดงผลในจอโทรศัพท์??   เด็กสมองช้างอย่าเรายังเคยคิดเลยว่าคนเขียนโค้ดนี่เก่งจริงๆ เขียนให้เว็บรู้ได้ด้วยว่าเข้าเว็บจากมือถือหรือจากคอมพิวเตอร์ โดยทำให้ทุกอย่างมันเด้งไปอยู่ ณ ตำแหน่งที่ต้องการให้แสดง จัดเรียงตัวตามขนาดหน้าจอโทรศัพเข้าเราได้  (แม่งเจ๋งหวะ!!) แต่หารู้ไม่เลยว่ามันไม่ได้เจ๋งขนาดนั้น ทุกสิ่งมีคำตอบในตัวของมันเอง
การจะทำแบบนั้นได้ไม่ยากเลย จากความคิดของเราถูกแค่ครึ่งเดียว คือ เค้าทำให้รู้ได้ว่าเข้าเว็บจากมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ แต่มันจะฉลาดได้ขนาดนั้นก็ต่อเมื่อมันมี Script ที่ช่วยเช็ค ซึ่ง Script นี้ มีทั้งที่เป็นโค้ด php และ JavaScript จะใช้อันไหนก็ได้แล้วแต่ความชอบ

มาทำความเข้าใจกับการทำงานก่อนที่จะไปดูโค้ด ขั้นตอนการทำงานมีไม่มาก คือ
1. เช็คดูว่าเข้าเว็บ Browers จากอุปกรณ์อะไร
2. ถ้าข้าผ่านโทรศัพท์มือถือ ให้ redirect ไปยังหน้า http://m.yourdomain.com หรือหน้าอื่นที่ต้องการ
3. ถ้าเข้าผ่านคอมพอวเตอร์ ให้ไปที่  http://www.yourdomain.com

ส่วนตัวอย่างโค้ดจะมีให้แต่ JavaScript  เพราะมันสั้นมาก ถึงมากที่สุดดด ><
<script type="text/javascript">
if( /Android|webOS|iPhone|iPad|iPod|BlackBerry|IEMobile|Opera Mini/i.test(navigator.userAgent) ) {
 window.location="http://m.yourdomain.com";
}
</script>

แต่ถ้าหากใครต้องการโค้ดที่เป็น PHP สามารถดูได้ที่ 



สร้างฟังก์ชัน ตรวจสอบ การเข้าเว็บไซต์ ผ่านมือถือ ด้วย php




เมื่อทราบแล้วหลายคนก็คงคิดเบาๆ ว่า นี้เราต้องทำ subdomain “http://m.yourdomain.com” ขึ้นมาแล้วเขียนหน้าเว็บ index.html สำหรับแสดงบนโทรศัพทร์มือถืออีกหรอเนี่ย ตอบเบาๆให้นะคะว่า ถั่วต้มคะ ^^ แต่อาจจะเขียนแค่เมนูแสดงหน้าแรกแต่ส่วนเนื้อหาก็สามารถดึงจากฐานข้อมูลได้เลย ไม่ต้องลงข้อมูลใหม่นะคะ แลดูจะสิ้นเปลือง

สรุปคือ ไม่ว่าจะแสดงผลทางโทรศัพท์มือถือ หรือ คอมพิวเตอร์เนื้อหาที่แสดงเป็นเนื้อหาเดียวกัน ต่างกันแค่รูปแบบหน้าจอแสดงผลเท่านั้นเอง